วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

เห็ดหลินจือ

อาหารธรรมชาติ เห็ดหลินจือมีดีอย่างไร ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว บรรดาพืชสมุนไพรที่มีสัพคุณอยู่อย่างมากมาย กระจัดกระจายทั่วทุกภูมิภาค ทว่าชื่อของ "เห็ดหลินจือ" เห็ดสมุนไพรเจ้าของฉายา "เห็ดหลินจือหมื่นปี" จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นส่วนผสมในการปรุงยามากเป็นอันดับหนึ่ง รวมทั้งเทศกาลอาหารเจ ต่างก็ต้องมีเห็ดหลินจือเป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร ประวัติความเป็นมาและคุณค่าของเห็ดหลินจือเป็นเช่นไร ขอให้พิจารณาดูข้อมูลประกอบดังต่อไปนี้ก่อน

* ปี ค.ศ. 317 ชื่อของเห็ดหลินจือปรากฎในคัมภีร์จีนโบราณ กล่าวถึงยาเทวดาชนิดหนึ่งซึ่งขี้นบนยอดเขาสูง ใต้ไม่ใหญ่ หรือข้างลำธาร มีรูปร่างเหมือนดั่งห้องหับในพระราชวัง รถม้า หรือเสือมังกร เมื่อนำไปทำให้แห้งแล้วรับประทานจะทำให้กลายเป็นเทวดาหรือ "เซียน" ได้ แม้แต่ชนิดของลงไปก็ยังสามารถทำให้อายุยืนได้ถึงพันปี

* ปี ค.ศ. 1115 สมัยราชวงศ์ซ่ง คัมภีร์ไทผิงเซิ่นอุ้ยฟัง ได้กล่าวถึงตำรับยาจากเห็ดหลินจือไว้ 2 ขนาน คือ ยาเม็ดจื่อจือ ใช้รักษาอาการอ่อนเพลีย มือ-เท้าเย็น ปวดข้อ ทำให้สดชื่น ผิวหนังเปล่งปลั่ง รวมทั้งตำรับยาเซิ่นตานฟัง ซึ่งมีฐานะเป็นยาเทวดา

* ปี ค.ศ. 1578 หลี่สือเจิน ปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนแห่งราชวงศ์หมิง ย้ายเห็ดหลินจือจากประเภทหญ้าซึ่งเป็นยา มาเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและประเภทผัก พร้อมทั้งแนะนำว่า การรับประทานเห็ดหลินจือ เป็นประจำจะทำให้ตัวเบา ไม่แก่ชราตามอายุ และจะกลายเป็นเซียนหรือเทวดาได้ อีกทั้งยังมีคำพังเพยยุคนั้นที่กล่าวไว้ว่า "จอมจักรพรรดิที่มีความเมตตาปราณี สวรรค์จะส่งเห็ดหลินจือมาเป็นเครื่องกำนัล"

* ปัจจุบัน ยังคงมีคำร่ำลือถึงสรรพคุณการเป็นยาอายุวัฒนะ ยกย่องให้เป็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์ สามารถบำบัดรักษาโรคได้นานาชนิด ผู้รู้บางท่านถึงขนาดเปรียบเปรยคุณค่าของเห็นหลินจือให้ฟังว่า "หากคนไทยยกย่องช้างเผือกเป็นสิ่งล้ำค่า ถ้าพบเจอเมื่อใดก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์พระมหากษัตริย์แล้วไซร้ ชาวจีนก็เฉกเช่นกัน เมื่อมีเห็ดหลินจือไว้ในครอบครองก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์ฮ่องเต้" แม้แต่รูปปั้นกังใสหรือเทพเจ้า "ฮก ลก ซิ่ว" ซึ่งมีความหมายบ่งบอกถึงความเป็นสิริมงคลก็ยังมีเทพเจ้าบางองค์ถือเห็ดหลินจืออยู่ในมือ

ด้วยประวัติความเป็นมาอันยาวนานของเห็ดหลินจือนั่นเอง ทำให้ได้รับความนิยมอย่างยาวนาน และอยู่คู่บ้านเมืองมานานมาก ยิ่งคนกินเจอเยอะ ๆ เป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว อ้างอิงข้อมูลจา http://th.wikipedia.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น